วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มั่วๆไปกับบทความแรก / AEC กับ นโยบายการส่งเสริม SME ของรัฐบาล

เนื้อหาสาระของบล็อกนี้ เป็นเพียงความคิดของกระผมแต่เพียงผู้เดียว พูดง่ายๆว่าคิดมั่วๆ ถูกไม่ถูกไม่รู้แหละ ซึ่งถ้าคิดไม่ถูกก็ต้องขออภัยด้วย ผู้มีภูมิได้โปรดชี้แนะ ข้าน้อยยินดีรับฟังทุกข้อกล่าวหา ข้าน้อยจะทำตัวเสมือนหนึ่งน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว อยากจะอธิบายให้ฟังชัดๆว่า แก้วของข้าพเจ้านั้นใหญ่มาก เติมไปเท่าไหร่ไม่มีวันเต็ม มิใช่เป็นเพียงน้ำครึ่งแก้ว พอเต็มแล้วก็เทออกเพื่อให้ใส่น้ำได้ใหม่ อันนั้นเค้าเรียกว่า เอาความรู้เก่าไปทิ้ง แล้วยัดความรู้ใหม่เข้าไป ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะคิดถูกหรือคิดผิด ความรู้จะผิดพลาดมาก่อนจะถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นประโยชน์ ก็เพราะมันคือประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต เปรียบได้กับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะเค้าสั่งสมความล้มเหลวไว้ในตัวมากเพียงพอ โทมัส อัลวา เอดิสัน เคยถูกกล่าวหาว่า

"กว่าจะผลิตหลอดไฟได้หนึ่งดวง เขาต้องประสบความล้มเหลว 999 ครั้ง มันบ้าหรือเปล่า(วะ)"
 แต่โทมัส อัลวา เอดิสัน กลับมองในอีกมุมหนึ่งที่ทำให้ผมทึ่ง
"เราไม่ได้ประสบความล้มเหลว 999 ครั้ง แต่เราได้เรียนรู้ 999 วิธีที่ทำให้หลอดไฟไม่ติดต่างหาก"
 ว้าว มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก It's awesome!!!

แต่ เอ่อ เป็นอะไรที่เวิ่นเว้อมากจริงๆ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าครับ เหตุจูงใจในการเริ่มเขียนบล็อกนี้ก็คงเป็นเพราะความอยากระบายความอัดอั้นตันใจ ที่แสนน่ารันทดอดสู คล้ายกับละครน้ำเน่าก็ไม่ปาน เอ้ย ไม่ใช่แล้ว สาระจริงๆคือระบายความคิด คือ จะบอกว่าผมเป็นคนที่เมื่อก่อนคิดเยอะมากจนรู้สึกว่าตัวเองไร้สาระ คิดไรนักหนา(วะ) แล้วนับจากเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมก็พยายามหยุดความคิดต่างๆลง ไม่คิดมันดีกว่า จนทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองโครตโง่บรม โง่ลงทุกๆวัน คือแบบไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเอง ตามคนอื่นไปวันๆ คิดอะไรเองไม่ค่อยเป็น นี่ล่ะมั้งเป็นบทลงทัณฑ์จากสวรรค์ เศร้าโครต ทุกวันนี้โครตกลัวกับความคิดของตัวเองที่จะไม่ได้รับการยอมรับ สุดท้ายก็จบลงที่ผมเลือกที่จะเงียบ แทนที่จะปลดปล่อยความคิด(และความรู้สึก)ของตัวเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ จนใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกวัน ฮ่าฮ่า ในที่สุดผมก็ได้รับรู้ความจริงอันโหดร้าย เมื่อผมผ่านไปดูหนังเรื่องหนึ่งเข้าด้วยความบังเอิญ เป็นบทสนทนาของคนสองคน ซึ่งเขากล่าวขึ้นมาว่า

"สิ่งที่ทำให้ตากล้องแต่ละคนแตกต่างกันก็คือรูปถ่ายของพวกเขา"

โป๊ะเช๊ะ โดนใจเสียนี่กระไร ตากล้องอย่างผมก็ควรจะต้องมั่นใจในรูปที่ตัวเองถ่ายสิ เออ ว่าแต่ผมไปเป็นตากล้องตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า ฮ่าฮ่า ช่างมัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ผมคิดได้จากประโยคนี้มันล้ำลึกมากกว่านั้น จนบางคนอาจสัมผัสไม่ถึง หรือเพราะผมบ้ากันแน่วะ ฮ่าฮ่า สิ่งที่ทำให้ตากล้องแต่ละคนแตกต่างกันก็คือรูปถ่ายของพวกเขา และสิ่งที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกันก็คือ ความคิดของพวกเขาเช่นกัน ทำไมเราไม่หัดเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง แม้ว่าเราจะคิดต่างไปจากสังคมก็ตามที สังคมไม่ให้การยอมรับ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก สิ่งที่สำคัญก็คือ การได้รับการยอมรับจากตัวเองต่างหาก เพราะถ้าเรายอมรับในแบบที่ตัวเองเป็นไม่ได้ เราก็จะเป็นไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รุ้ ที่วันๆใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าคุณมีความสุขกับสิ่งนั้นก็จงทำมันต่อไปเถอะ

ประเด็นนี้ผมพูดได้อีกยาวเลยล่ะ เพราะผมเห็นค่านิยมของสังคมแล้วต้องบอกว่ามันมีผลอย่างมหาศาลกับความเป็นตัวของตัวเอง กรุจะต้องสอบหมอให้ได้เพราะรวยโครตหาเงินได้ปีนึงเป็นล้าน ทั้งๆที่จริงๆกรุชอบศิลปะ แต่เผอิญเกิดมาสมองดีไปหน่อย เส้นทางการดำเนินชีวิตของคนจึงแปรเปลี่ยนไป ทั้งๆที่ถ้าดำเนินแนวทางที่สุดโต่งไปเป็นจิตรกรใส้แห้ง คุณอาจจะใส้แห้ง ต้องกินภาพสีน้ำมันแทนอาหาร หรือไม่ก็กลายเป็นจิตรกรเอกของโลกที่ภาพๆหนึ่งของคุณขายได้เป็นล้าน พระเจ้าจอร์จมันเทียบกันไม่ได้เลย ระหว่างการนั่งจมอยู่กับความทุกข์ในอาชีพที่ตัวเองไม่ได้รัก หาเงินได้มาก แต่ไม่มีเวลาใช้ ไม่เคยมีความสุข กับมีความสุขทุกวันกับงานที่ทำพร้อมกับเงินทองชื่อเสียงที่มีใช้สบายไปจนตาย ประเด็นนี้มันคงอยู่ที่ความกลัวกระมัง กลัวจน ก็เลยไม่รวย จริงๆแล้วมันก็เป็นเรื่องของทางเลือกเหมือนกันนะ

1. เลือกที่จะมีความสุขที่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ แล้วอยู่กับความยากจนข้นแค้นกินข้าวคลุกน้ำปลา โดยหวังลมๆแล้งๆว่าวันหนึ่งข้าจะเป็นเหมือนบิล เกต หรือสตีฟ จ็อบ ข้าจะเป็นที่สุดของที่สุดในสิ่งที่ข้ารักที่จะทำ

2. เลือกที่จะจมอยู่กับค่านิยมของสังคม ทำมันไปเพราะกรุก็ทำได้นะ แต่ถามว่ามีความสุขมั้ย ตอบเลยว่าไม่ ก็ทำแล้วมันมีข้าวกิน มีเงินมีทองไว้ใช้จ่ายนี่หว่า

ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้นะ ผมจะ... ไม่เลือกทั้งสองทาง ทั้งสองทางมันสุดโต่งเกินไป พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้เดินทางสายกลาง ทางแรกมันเสี่ยงเกินไป ไม่มีใครการันตีได้หนิว่าถ้าเลือกทำแล้วเราจะประสบความสำเร็จมหาศาล ทางที่สองมันก็ทุกข์เกินไป สิ่งที่ผมจะเลือกทำคือ ทำในสิ่งที่สังคมให้ค่า และไม่รู้สึกทุกข์ที่จะทำมัน ทำมันไปเลี้ยงชีวิตกันตาย ไม่ต้องร่ำรวย แต่ไม่จมอยู่กับความทุกข์ ในขณะเดียวกันก็จะทำสิ่งที่รักที่ชอบไปพร้อมๆกัน แค่นี้ก็มีทั้งความสุขและมีเงินใช้ไม่อดตายแล้ว นี่แหละชีวิตพอเพียง ถ้าเผื่อวันหนึ่งสิ่งที่รักที่ชอบมันจะส่งผลออกมาให้เราได้ประสบความสำเร็จ นั่นถือเป็นโบนัส

โอเค หลายคนอาจจะเถียงว่า ดูสิคนที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน เรียนก็ไม่จบ สตีฟจ็อบอย่างงี้ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์กอย่างงี้ เขาเลือกแนวทางแรกอย่างสุดโต่ง ความคิดเขาไม่มีคำว่าล้มเหลว นั่นเป็นความหลงไหลอย่างบ้าคลั่ง หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Passion ถ้าคุณมี คุณทำไปเถอะ เชื่อมั่นในแนวทางของตัวเอง แต่สำหรับผม ถ้าผมเกิดมารวยล้นฟ้า ที่บ้านผลิตเงินใช้เองได้ ผมก็คงเลือกแนวทางแรก แต่นี่มันไม่ใช่ ผมเชื่อมั่นในแนวทางที่ผมเลือก ณ ตอนนี้ (อนาคตไม่รู้ มันอาจจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ ฮ่าฮ่า)
ว่าไปนั่น ผมยังค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำไม่พบเลยด้วยซ้ำ สรุปผมเพ้อเอง อย่าได้ใส่ใจ ฮ่าฮ่า

พูดแค่เรื่องระบายความคิด ไหงมันเพ้อเจ้อได้มากขนาดนี้ หลุดออกกรอบที่ตัวเองตั้งใจเขียนตอนแรกไป 5000 กิโลเมตร มันแย่ตรงที่ถ้าเริ่มคิดเริ่มเขียน ความคิดมันจะไหลไปเรื่อยๆ จนหลุดกรอบไป แต่นั่นแหละคือที่มาของบล็อกนี้ ก็แค่ต้องการกระตุ้นความคิดของตัวเองถ่ายทอดมันออกมาเป็นเรื่องราวบนตัวหนังสือ ผมจะไม่พยายามจำกัดกรอบหรือวางโครง เพราะนั่นหมายถึงการหยุดความคิดที่บางครั้งมันแว็บขึ้นมาแล้วโดนใจ แล้วสุดท้ายผมก็จะลืมมันในที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าพยายามหาสาระอะไรมันเลย

จริงๆเปิดบล็อคขึ้นมาตั้งใจจะเขียนเรื่อง AEC กับนโยบายส่งเสริม SME ของรัฐบาล ตั้งใจว่าจะเกริ่นนิดเดียว เป้าพุ่งทะลุ 1 ล้านคำ (เว่อร์) คนบ้าอะไรเวิ่นเว้อได้ยืดยาว และยืดยาดมาก แล้วตอนนี้ความคิดผมมันก็หยุดลงแล้วอ่ะ ซวยละ (อ้าว แก -*-) สงสัยคงต้องยกยอดเป็นคราวหน้า หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้เขียนแล้ว ฮ่าฮ่า มันมีเรื่องใหม่ๆเกิดขึ้นในความคิดทุกวันเลยอ่ะ

สุดท้ายต้องย้ำกันอีกครั้งว่า เนื้อหาสาระในบล็อกนี้ เป็นความคิดของผมซะเป็นส่วนใหญ่ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน (ใครจะมาอ่านวะ นั่นดิ) เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร ร่วมแสดงความคิดเห็นหรืออวดอ้างภูมิความรู้กันได้เต็มที่ เพราะข้าพเจ้านั้นเสมือนหนึ่งน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว เพราะแก้วของข้าพเจ้าใหญ่มาก

เอวัง ด้วยประการฉะนี้แล