วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Secret Guide To Make Money Uploading Files

Last week I found an interesting file but it takes some step before I can download it.
http://fileups.net/file/054Nm0
Seem likes I found someway to make money but it's not that easy. A lot of people lost their time searching and googling through online world. They spend their time on how to make money, how to get rich - me either. But no one didn't share their experience on neither failure nor succesful. I only see the post and information which is more advertised than can make it real.
When I start reading, I considered the possibility of what write in the files and conclude that it can. The only way left is to try. It might be a cheat or just a spam. We don't know if we don't even try. Let's do it!!! 



วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เริ่มต้นเดินทางค้นหาความฝัน ความพยายามหรือโชคชะตากำหนด

และแล้วการเดินทางของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น การเดินทางที่ผมเชื่อว่ามันคือความใฝ่ฝันของคนอีกหลายหมื่นหลายแสนคน และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จะพูดจริงๆคือ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความฝัน ไม่เคยคิดว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆทำไม มันช่างไร้แก่นสารจริงๆ พูดจบแล้วก็ไปบวชดีกว่า หาทางหลุดพ้น ฮ่าฮ่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมก็อยากมีสิ่งที่ตัวเองรักและมีความสุขที่จะทำ ที่มันไม่ไร้สาระอย่างการขี้เกียจไปวันๆเหมือนกัน แล้วความฝันของผมคืออะไรล่ะ ผมต้องเดินทางค้นหามันไปจนตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า

มีคนเคยพูดไว้ว่า ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักเป็นงาน เราจะมีความสุขในทุกวันที่ทำงาน และเราจะอยากทำงานในทุกๆวัน พูดจริงๆในทุกวันนี้ งานที่ทำอยู่มันไม่ใช่อย่างที่ว่าเลยสักนิด ขอบ่นถึงงานประจำหน่อย มันเป็นอะไรที่เครียดมากจริงๆ คือรู้เลยว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำ ในแต่ละวันที่ตื่นมาแทบไม่อยากตื่นไปทำงาน เจอทั้งความเครียด ความกดดันต่างๆนานา ไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่ช่างมัน อันนี้ทิ้งไว้ข้างหลัง หน้าที่ของผมคือเดินต่อไปข้างหน้า และหวังว่าสักวันจะเจอในสิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำ จะเจอความฝันของตัวเอง และได้มีความสุขในทุกวันที่ทำงาน การเดินทางตามหาความฝันจึงเริ่มต้นขึ้น... นักบิน

ทำไมต้องนักบิน สิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างแรกคือ โครตเท่ห์อ่ะ เท่านั้นจบ ประเด็นต่อมาคือ เงินเยอะ และประเด็นต่อมาคือ ต้องได้เที่ยวเยอะแน่ๆ ประเด็นเริ่มต้นน่าจะมีเท่านี้ พอคิดได้เท่านั้นแหละ ฮึกเหิม การวาดฝันต่างๆตามมาเป็นพรวนๆ คิดจินตนาการถึงภาพที่ตัวเองเป็นผู้ขับเคลื่อนเครื่องบินลำใหญ่ๆ ได้มองวิวทิวทัศน์จากบนท้องฟ้าที่หน้าห้อง console ของเครื่องบิน ที่แหวกปุยเมฆขาวๆ ชนนกตายไปสิบๆตัว ฮ่าฮ่า เพ้อฝันทั้งนั้น จุดเริ่มต้นจริงๆที่เป็นจุดเริ่มแรกของการมาสมัครสอบเป็นนักบินคือ มีพี่ที่ทำงานคนหนึ่งเขาไปสอบ นั่นแหละคือการจุดประกาย แล้วภาพต่างๆว่า โครตเท่ห์ เงินเยอะ ได้เที่ยวเยอะถึงตามมา คิดกร่นด่าตัวเองในใจว่า ทำไมกรูไม่คิดถึงอาชีพนี้ได้ตั้งแต่แรกวะเนี่ย

จริงๆแล้วนักบินอาจจะเป็นความฝันของผมตั้งแต่เด็กๆเลยก็ได้ แต่ก็บอกไม่ได้อีกเหมือนกัน อาจเป็นเพราะเราเป็นคนไม่ค่อยคิดค่อยฝันเหมือนเด็กคนอื่นๆ จำได้เลยว่าตอนเด็กๆคุณครูจะให้เขียนเรียงความว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร แล้วให้เอาไปอ่านหน้าชั้น เพื่อนๆของผมก็อยากเป็นตำรวจบ้าง อยากเป็นคุณครูบ้าง อยากเป็นหมอ พยาบาล บลาๆๆๆๆ แต่คำตอบที่ผมบอกไปก็คือ อยากค้าขายเหมือนพ่อแม่ แววนักธุรกิจตั้งแต่เด็กเลยนะเอ็ง ฮ่าฮ่า แต่ความเป็นจริงลึกๆที่จำได้ตอนนั้นที่ตอบไปเพราะคุณครูสั่ง และสิ่งที่เราพบเห็นอยู่ทุกวันก็คือคุณพ่อคุณแม่เปิดร้านขายของ มันใกล้ตัวสุดแล้ว ก็คิดได้แค่นั้นจริงๆ

นักบินเข้ามาอยู่ในความคิดผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอบไม่ได้เหมือนกัน จริงๆมันอาจจะอยู่ลึก แล้วก็ลึกมากกกกกกก แต่มันก็เหมือนสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ถ้ามีคนถามว่าอยากเป็นนักบินมั้ย คงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าอยาก แต่ผมมักเป็นคนที่ตีค่าตัวเองต่ำเสมอ คิดว่าตัวเองเป็นไม่ได้หรอก นักบินเขาต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ นิสัยขี้เกียจอย่างนี้ ไม่ค่อยมีวินัย เข้ากับคนไม่ได้ ข้อเสียของตัวเองผุดขึ้นมาเป็นพรวน แล้วเราก็จะตัดสินมันว่า ไม่ได้หรอก เราเป็นไม่ได้ มันอยู่ไกลมาก บวกกับภาพที่เราวาดไว้ ว่านักบินต้องเป็นคนที่เป็นตัวของตัวเองสูง มีความเป็นผู้นำ ความมั่นใจ ตัดสินใจเฉียบขาด ยิ่งมองยิ่งคิดก็ยิ่งไกล และบวกกับเราไม่เคยมองเห็นหนทาง หรือเส้นทางเดินสู่การเป็นนักบินเลย

กำแพงเหล่านี้ได้ถูกพังทลายลงจากการผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน พูดเหมือนตัวเองแก่ แต่ก็แก่จริง แล้วจะพูดเพื่อ!!! ผู้จุดประกายแรกจริงๆต้องขอบคุณพี่ที่ทำงานเก่ามาก จะบอกให้ถูกต้องเป็นหัวหน้าที่ทำงานเก่า ที่พูดถึงพี่ที่ทำงานเก่าว่าไปสอบนักบินมา แล้วก็พูดนั่นพูดนี่เยอะจนเราก็อยากที่จะไปลองสอบบ้าง แต่ในใจตอนนั้นก็แบบยังลังเลอยู่เพราะการประเมินตัวเองต่ำ ใจก็แบบกล้าๆกลัวๆ จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปเกือบครึ่งปี หลายๆสิ่ง หลายๆอย่างได้เปลี่ยนไป แต่ความคิดเราก็ไม่ได้เปลี่ยนตามเลย ยังคงประเมินค่าตัวเองต่ำอยู่เหมือนเคย แต่จากประสบการณ์ที่ยาวนานจากการดูเดอะสตาร์ เห็นชีวิตคนที่เปลี่ยนได้ในข้ามคืน บางคนเหล่านั้นเขาก็ Born to be และผมเชื่อว่าหลายๆคนไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมายืนนะจุดนั้นได้ จากคนเป็นหมื่นๆ แต่สิ่งที่เขาทำก็คือลอง อย่างน้อยเราก็ไม่แพ้ตั้งแต่เริ่ม ถ้าคุณไม่ลอง คุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ผมได้ ขอแค่ได้ลอง ถ้ามันจะไม่ใช่ อย่างน้อยเราก็ได้ลอง

หน้าที่ของเราคือลอง หน้าที่ตัดสินเป็นของคณะกรรมการ

เราจึงตัดสินใจสมัครสอบนักบิน โดยบอกกับตัวเองว่า ขอลองสักตั้งเถอะวะ นี่คือโหมดฮึกเหิม จะมีบ้างบางครั้งที่เข้าสู่โหมดห่อเหี่ยว ไอ้สมัครสอบกรอกแบบฟอร์มนั้นก็เจอปัญหาแล้ว วันแรกเปิดรับสมัคร เข้าเว็บ กรอกข้อมูลไปจนจบ Error บ้าง เข้าไม่ได้บ้าง สองสามวัน กรอกข้อมูลเป็นสิบๆรอบ จนในที่สุดวันที่สามได้ ที่เว็บการบินไทยบอกให้ใช้ IE 8 จึงต้องทำการ Downgrade IE เครื่องตัวเองลงจนสมัครได้ ผ่านไปถึงรอบการจ่ายเงินก็ไม่มีอะไร แค่ลองสุ่มเสี่ยงไปเดินห้างๆหนึ่งตอนเลิกงานพร้อมเอกสารการจ่ายเงิน โดยหวังว่ามันจะมีธนาคารกรุงไทย แล้วมันก็มีผ่านไปอย่างง่ายดาย แล้วทีนี้ ปัญหามันก็เกิดขึ้นรอบการรายงานตัว มันประกาศออกมาพอดีว่าเป็นวันที่ 22 เมษายน ซึ่ง วันที่ 19-21 เมษา เรานัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปเที่ยวหลีเป๊ะ แล้วทีนี้วันที่ 19 เราก็ต้องทำงาน วันที่ 21 เราก็ต้องทำงาน ถ้าปกติไม่มีรายงานตัวก็หนักใจอยู่แล้วต้องลา 2 วัน ขอเกริ่นก่อนว่า เรายังไม่มีลาพักร้อน ถ้าจะไปต้องแอบป่วยแอบลากิจไป ทีนี้พอมีรายงานตัวปุ๊บ ตัดสินใจทันที ทิ้งเรื่องไปเที่ยว ทิ้งตั่วเครื่องบิน ทิ้งค่าที่พัก ตัดสินใจลาไปรายงานตัววันที่ 22 โดยที่โดนเพื่อนไซโคทุกวันจนวันก่อนไป ก็แอบเศร้าใจเล็กๆ เสียตังแต่ไม่ได้ไปเที่ยว บางครั้ง สิ่งที่เราได้มา ก็อาจจะต้องแลกกับอะไรบางอย่าง มันคงเป็นบททดสอบหนึ่งว่า คุณยอมแลกได้หรือเปล่า

วันอาทิตย์ที่ 20 นอนตื่นสายโครตๆแบบขี้เกียจ อาจจะเรียกได้ว่าเกือบเย็นก็ว่าได้ ตื่นมาเกิดอารมณ์นีกครึ้มอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้มานั่งตรวจเอกสารพบว่า ขาดปริญญาบัตรตัวจริงไป ในใจตอนนั้นแบบว่า เอาไงดีวะ คือในเว็บมันบอกว่าถ้าไม่มีเอกสารตัวจริงมาแสดงขออนุญาตตัดสิทธิ โทรถามที่บ้านว่าปริญญาบัตรอยู่มั้ยต้องใช้สมัคร คุณแม่ที่เคารพบอกว่าเดี๋ยวดูให้ตอนนี้ติดฝนอยู่สมาคม แต่ตัวเราคิดว่ามันอยู่แน่ๆ พอวางโทรศัพท์ปุ๊บ ตัดสินใจพุ่งออกจากห้องในเวลาประมาณ 4 โมงครึ่ง คิดว่าเอาวะนั่งรถกลับไปคงถึงเที่ยงคืน กลับมาถึงซักตีห้า ตาค้างไปทำงาน อารมณ์ตอนนั้นบอกว่า ลองสู้ดูสักตั้งสิวะ เดินออกไปได้ครึ่งซอย โทรศัพท์จากคุณแม่โทรกลับมาบอกว่า ญาติจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯวันจันทร์ เพราะจะไปขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวภูเก็ตกันวันอังคาร เราแบบดีใจสุดฤทธิ์ว่า โอยรอดตัวละ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก เลยบอกกับที่บ้านว่าขอทะเบียนบ้านตัวจริงด้วย เราจะได้ไม่ต้องไปขอคัดสำเนาที่สำนักงานเขตเพื่อใช้เป็นหลักฐานการสมัคร

ผ่านไปวันจันทร์พอเลิกงานปุ๊บบึ่งรถไปนิมิตรใหม่เพื่อไปเอาหลักฐาน กว่าจะกลับถึงที่พักก็สามทุ่มกว่าๆ ก็ไม่คิดไรจัดเตรียมหลักฐานทุกอย่างลงกระเป๋านอนหลับอย่างสบายใจ พอถึงวันอังคารที่ 22 เราออกจากที่ทำงานตอนเที่ยงเนื่องจากว่ารายงานตัวตอนบ่ายเวลา 13.30 - 16.30 ไปถึงสะพานข้ามการบินไทยตั้งแต่เวลา 13.20 ณ ขณะที่เดินข้ามสะพาน นึกครึ้มไรไม่รู้มาตรวจหลักฐานอีกที พบว่า บัตรประชาชนหายยยยย ตกใจมากตอนนั้นคิดไปคิดมาคิดได้ว่า ตอนที่ขับรถไปนิมิตรใหม่บ้านญาติ ตอนเข้าหมู่บ้านต้องแลกบัตรเข้า ตอนกลับเราก็ออกมาเลย ไม่ได้เอาบัตรติดกลับมา คิดว่าขับรถไปยังไงก็ไม่ทันแน่ๆ (แต่มาคิดอีกทีตอนนี้ ถ้าเรานั่งแท็กซี่ไปกลับอาจจะทัน) ณ จุดนั้นพยายามคิดทบทวนหาวิธีการที่ดีที่สุด แต่ดันคิดไม่ออกว่าควรนั่งแท็กซี่ไปเอาบัตรที่นู้น มีตัวเลือกอยู่สองทาง ยอมแพ้ไปสมัครใหม่ปีหน้ากับไปทำบัตรประชาชนเพื่อเป็นหลักฐานใหม่มีเวลา 3 ชั่วโมงตัดสินใจว่า เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองสู้ดูสักตั้ง ตัดสินใจกลับหลังหันไปขึ้นแท็กซี่บอกพี่ ไปสำนักงานเขตจตุจักร ขับไปประมาณ 5 นาทีถึง เดินข้ามสะพานไปเข้าสำนักงานเขตจตุจักร พบว่า คิวทำบัตรประชาชนเต็ม ใจฝ่อลงไปเยอะ เพราะถ้าทำบัตรประชาชนไม่ได้ ก็หมดสิทธิ แต่ก็อยากลองสู้อีกสักตั้ง ตอนที่เราจะไปคัดสำเนาทะเบียนบ้านได้หาข้อมูลไว้ว่าสามารถไปขอทำที่ BTS Express ได้ซึ่งเป็นจุดบริการด่วนกรุงเทพมหานคร และเขาบอกว่ามันทำเร็วมาก ขั้นตอนไม่เยอะ และก็จำได้ว่าทำบัตรประชาชนได้ด้วย เราจึงตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไปที่ BTS หมอชิต แอบบ่น แท็กซี่คันนี้พาเราเข้าด้านหลังแถมขับช้ามาก เสียเงินไปเกือบร้อย ลงจากแท็กซี่ขึ้นไป BTS จ่ายตัง 15 บาทเพื่อเข้าไปในสถานี ไปถึงบอกเจ้าหน้าที่ว่าบัตรประชาชนหาย ซวยซ้ำหน้าหงายกลับมาบอกอ่านหน้ากระจกด้วย บัตรประชาชนหายไม่รับทำ รับทำเฉพาะที่เขต แอบบ่น พนักงานไม่รับแขกมากๆ ทั้งคำพูดและหน้าตา บอกว่าให้ไปลองติดต่อที่สำนักงานเขตราชเทวีหรือพญาไท ด้วยความที่เราไม่เชื่อนัก บวกกับพนักงานไม่รับแขก จึงตัดสินใจนั่ง BTS ไปพร้อมพงษ์ เพราะเคยไปใช้บริการที่นั้น พนักงานใจดีและให้บริการดีมากๆ แต่พอไปถึงก็เหมือนเดิม จุดนั้นน่าจะบ่ายสองครึ่งเกือบบ่ายสามแล้ว ก็เลยตัดสินใจนั่ง BTS กลับไปที่พญาไท ลองดูอีกสำนักงานเขตนึง โดยหวังว่าคิวทำบัตรประชาชนจะไม่เต็มด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ มาถึงลงมาด้านล่างด้วยอาการเริ่มรนแล้วเพราะเวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกที ซื้อน้ำถามป้าที่ขายว่าสำนักงานเขตอยู่ไหน ได้คำตอบว่า อยู่สถานีราชเทวี ถัดไปนิดหนึง เฮือก ลงผิดสถานี เลยตัดสินใจนั่งรถไฟฟ้าไป จะนั่งรถเมล์ก็ช้า ไม่ทันใจ ลงมากว่าจะเดินหาเจอก็ต้องถามวินมอไซค์อีกรอบ เดินเข้าไปด้วยใจแป้วๆตอนเวลาบ่ายสามกว่าๆเกือบครึ่งแล้ว พบว่ามันโล่งมาก เข้าไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์ก็แจ้งว่า ต้องมีสำเนาทะเบียนบ้านกับใบขับขี่ ทะเบียนบ้านอ่ะเราเตรียมมาแล้ว จะใช้เป็นหลักฐานสมัครสอบ แต่ใบขับขี่ต้องไปถ่าย พอไปถ่ายก็เลยจะถ่ายทะเบียนบ้านเอาไว้เผื่อ หยิบตัวจริงออกมาจะให้เค้าถ่าย พบว่า ทะเบียนบ้านที่ที่บ้านฝากมาให้ไม่มีชื่อตัวเอง!!! ซวยซ้ำ ดีที่เจอก่อน เลยเอาใบสำเนามาให้เค้าถ่ายซ้ำ กลับไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์บอกจะขอคัดสำเนาทะเบียนบ้านด้วย ได้คำตอบว่าต้องทำบัตรประชาชนเสร็จก่อนแล้วใช้บัตรประชาชนเป็นหลักฐานขอคัดสำเนา ให้แบบฟอร์มมากรอกข้อมูลทำบัตรประชาชนเยอะมาก ณ จุดนั้นเริ่มรน กรอกข้อมูลด้วยความเร่งรีบ เพราะเห็นความหวังอยู่แม้จะริบหรี่มากก็ตามที อยากบอกว่าที่นี่ทำบัตรประชาชน Process เยอะมาก ถามนั่นนู่นนี่ ไปโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเราบัตรประชาชนหายมั้งเลยต้องสอบประวัติเยอะหน่อย ได้ับัตรประชาชนมาตอนประมาณ บ่าย 3 โมง 45 นาที วิ่งสุดฤทธิ์ไปถ่ายสำเนาบัตรประชาชนกลับมาขอคัดสำเนา โชคดีที่ขอคัดสำเนาแค่ประมาณ 5 นาที ก็เสร็จ ณ จุดนี้ประมาณ บ่าย 3 โมง 55 นาที วิ่งสุดฤทธิ์ออกจากสำนักงานเขตข้ามถนนไปขึ้นรถไฟฟ้าแบบเหนื่อยหอบสุดๆ บอกกับตัวเองว่า ไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ขอสู้จนวินาทีสุดท้าย รถไฟฟ้าก็วิ่งช้าไม่ทันใจมากๆ ออกจากรถไฟฟ้าประมาณ บ่าย 4 โมง 15 นาที ก็วิ่งอย่างสุดฤทธิ์จะไปขึ้นแท็กซี่บริเวณนั้นที่จอดเรียงกันอยู่เป็นตับ แต่จะด้วยโชคที่เริ่มเข้าข้างหรืออย่างไรไม่ทราบ แท็กซี่บอก มอไซค์เลยน้อง เร็วกว่า ขอบคุณพี่แท็กซี่มากๆ หันหลังไปบอกพี่วิน พี่ไปการบินไทยแบบด่วนๆติดสปีดซิ่งท้านรกเลยพี่ พี่เค้าจัดให้ตามคำขอ กว่าจะไปถึงการบินไทยก็บ่าย 4 โมง 20 นิดๆลงมอไซค์จ่ายตังไป 80 บาทแอบแพงแต่ไม่มีเวลาคิด  วิ่งไปถามพี่ยามที่อยู่หน้าตึกถามว่าอาคารสามอยู่ไหน พี่ยามชี้อยู่ไกลลิบๆประมาณ 100 เมตร เราก็วิ่งสุดฤทธิ์ หัวเหอฟูไปหมด ผ่านด่านเครื่องสแกนตรวจกระเป๋า ติดต่อเคาเตอร์แลกบัตร ยามหน้าลิฟต์บอก เร็วๆเลยน้องก่อนจะหมดเวลา เราก็เข้าลิฟต์ไปกดไปชั้นที่ 11 เดินเข้าไปพบพี่ผู้หญิงคนหนึ่งยืนต้อนรับทักพร้อมด้วยหน้าตาตื่นตกใจกับสภาพเรากระมังว่า ไปทำไรมาจนจะปิดเนี่ย ก็เล่าๆบอกพี่เค้าไปคร่าวๆ พอเดินเข้ามาในห้องรายงานตัวพบว่า ไม่มีผู้สมัครคนอื่นอยู่แล้ว มีแต่พี่ๆที่ตรวจหลักฐานอยู่นั่งเล่นเตรียมจะกลับกันแล้ว พี่ผู้หญิงก็บอกว่า เอ้า คนสุดท้ายมาแล้ว ช่วยกันรุมหน่อยเร้วววว ไอ้เราก็แบบ เอ่อ รุมเลยหรอ ก็ไปตรวจหลักฐานอย่างเร่งรีบและแบบโดนรุม เสร็จในเวลา 5 นาที ออกมายืนหน้าห้องพร้อมบัตรประจำตัวผู้สอบ 1 ใบแบบงงๆว่า ที่ตะลุยผจญภัยทั้งวันมานี่ จบแล้วใช่มั้ย กดลิฟต์ลงไปด้านล่างชั้น 1 เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำไมตัวมันโล่งๆวะ เฮ้ยยยย ลืมกระเป๋าโน้ตบุ๊ค กดลิฟต์กลับขึ้นไปพร้อมด้วยหน้าแหยๆกับพี่ๆที่กำลังจะปิดห้องบอกว่า ลืมกระเป๋าครับ ก็โดนแซวกันไปตามระเบียบ แล้วก็จบลง

เขียนมาโครตเหนื่อยเลย คงไม่มีใครมาอ่าน แค่อยากบันทึกไว้ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง การเริ่มต้นเดินทางตามหาความฝัน เริ่มแรกก็พบกับอุปสรรคซะแล้ว แต่ถ้า ณ จุดที่บัตรประชาชนหายแล้วผมยอมแพ้บอกกับตัวเองว่า ปีหน้าค่อยสมัครใหม่ ผมคงไม่ได้ครอบครองบัตรประจำตัวผู้สมัครนักเรียนการบินไทย มันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ บอกกับตัวเองว่าปีหน้าเอาใหม่ แต่ผมอยากบอกกับตัวเองเช่นนี้ ก็ต่อเมื่อผมได้พยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว บางครั้งเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมันก็เหมือนโชคชะตากำหนดเหมือนกัน เริ่มแรก ถ้าผมไม่สู้ที่จะไปเอาปริญญาบัตร ผมก็คงหมดสิทธิสอบ ณ จุดที่บัตรประชาชนหาย(จริงๆคือลืม ฮ่าฮ่า) ถ้าผมไม่ไปทำบัตรใหม่ ผมก็คงไม่รู้ว่าทะเบียนบ้านที่เอามามันใช้ไม่ได้ และโชคชะตาก็คงจะอยากทดสอบอะไรเราเหมือนกัน

แต่ก่อนผมไม่เชื่อในโชคชะตา แต่ก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องประมาณนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน มันเป็นเหตุเป็นผลและบังเอิญจนผมก็ไม่อยากเชื่อ เรื่องนั้นคือตอนที่ผมจะบวช ผมจริงจังและตั้งใจมากว่า จะบวชทั้งที ขอเข้มๆ ให้เราได้อะไรกลับมาบ้าง ค้นข้อมูลไปๆมาๆไปพบว่าสายธรรมยุติเคร่งมาก เริ่มหาวัดสายธรรมยุติ ก็อยากได้วัดที่ปฏิบัติดีจริงๆ และแอบแถมบรรยากาศดีนิดหน่อยด้วย ค้นไปค้นมาไปเจอวัดหลวงพ่อกัณหา คนเขียนบล็อกก็ไปบวชเหมือนกัน ผมก็เกิดอยากจะบวชที่นี่ขึ้นมา ความบังเอิญแรกเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนพ่อบอกว่า เพิ่งไปบวชมาวัดนี้แหละ ตอนแรกเราไม่เชื่อ วัดมีตั้งหลายวัดมันจะบังเอิญมาวัดเดียวกันได้ไง พอไปถึงที่วัดนั้นจึงพบว่าใช่จริงๆ และความบังเอิญที่สองที่ผมไปเยี่ยมวัด นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้มาเยือนวัดนี้ ผมและครอบครัว เคยหลงเข้ามาวัดนี้เมื่อตอนที่พาครอบครัวเที่ยวแถบๆวังน้ำเขียว หลงโดยไม่ตั้งใจ หลงทั้งๆที่มี GPS นำทางและพี่สาวก็เป็นเจ้าถิ่นบริเวณนั้น มันคงมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงเรากับสถานที่แห่งนี้

เช่นเดียวกับการสมัครสอบนักบิน ลองมาคิดๆดู หลายๆอย่างมันก็เป็นเหตุเป็นผล เป็นความบังเอิญจนผมเองก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า มันถูกกำหนดไว้แล้ว ความบังเอิญแรก ผมลืมปริญญาบัตร แต่ญาติบังเอิญจะเข้ากรุงเทพฯพอดี ความบังเอิญที่สอง ผมบัตรประชาชนหาย ทำให้รู้ว่าทะเบียนบ้านที่เอามามันใช้ไม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็เชื่ออีกว่า ถ้าผมไม่พยายามก่อน ผมคงไม่ได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ ที่ผมได้เป็นหนึ่งในผู้สมัครสอบการบินไทย ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผมจะได้เป็นนักบินหรือไม่ และนักบินจะใช่ความฝันที่ผมตามหาหรือเปล่า หรือผมจะต้องเดินตามหามันต่อไปตลอดชีวิต การเดินทางทั้งหมดมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มั่วๆไปกับบทความแรก / AEC กับ นโยบายการส่งเสริม SME ของรัฐบาล

เนื้อหาสาระของบล็อกนี้ เป็นเพียงความคิดของกระผมแต่เพียงผู้เดียว พูดง่ายๆว่าคิดมั่วๆ ถูกไม่ถูกไม่รู้แหละ ซึ่งถ้าคิดไม่ถูกก็ต้องขออภัยด้วย ผู้มีภูมิได้โปรดชี้แนะ ข้าน้อยยินดีรับฟังทุกข้อกล่าวหา ข้าน้อยจะทำตัวเสมือนหนึ่งน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว อยากจะอธิบายให้ฟังชัดๆว่า แก้วของข้าพเจ้านั้นใหญ่มาก เติมไปเท่าไหร่ไม่มีวันเต็ม มิใช่เป็นเพียงน้ำครึ่งแก้ว พอเต็มแล้วก็เทออกเพื่อให้ใส่น้ำได้ใหม่ อันนั้นเค้าเรียกว่า เอาความรู้เก่าไปทิ้ง แล้วยัดความรู้ใหม่เข้าไป ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะคิดถูกหรือคิดผิด ความรู้จะผิดพลาดมาก่อนจะถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นประโยชน์ ก็เพราะมันคือประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต เปรียบได้กับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะเค้าสั่งสมความล้มเหลวไว้ในตัวมากเพียงพอ โทมัส อัลวา เอดิสัน เคยถูกกล่าวหาว่า

"กว่าจะผลิตหลอดไฟได้หนึ่งดวง เขาต้องประสบความล้มเหลว 999 ครั้ง มันบ้าหรือเปล่า(วะ)"
 แต่โทมัส อัลวา เอดิสัน กลับมองในอีกมุมหนึ่งที่ทำให้ผมทึ่ง
"เราไม่ได้ประสบความล้มเหลว 999 ครั้ง แต่เราได้เรียนรู้ 999 วิธีที่ทำให้หลอดไฟไม่ติดต่างหาก"
 ว้าว มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก It's awesome!!!

แต่ เอ่อ เป็นอะไรที่เวิ่นเว้อมากจริงๆ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าครับ เหตุจูงใจในการเริ่มเขียนบล็อกนี้ก็คงเป็นเพราะความอยากระบายความอัดอั้นตันใจ ที่แสนน่ารันทดอดสู คล้ายกับละครน้ำเน่าก็ไม่ปาน เอ้ย ไม่ใช่แล้ว สาระจริงๆคือระบายความคิด คือ จะบอกว่าผมเป็นคนที่เมื่อก่อนคิดเยอะมากจนรู้สึกว่าตัวเองไร้สาระ คิดไรนักหนา(วะ) แล้วนับจากเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมก็พยายามหยุดความคิดต่างๆลง ไม่คิดมันดีกว่า จนทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองโครตโง่บรม โง่ลงทุกๆวัน คือแบบไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเอง ตามคนอื่นไปวันๆ คิดอะไรเองไม่ค่อยเป็น นี่ล่ะมั้งเป็นบทลงทัณฑ์จากสวรรค์ เศร้าโครต ทุกวันนี้โครตกลัวกับความคิดของตัวเองที่จะไม่ได้รับการยอมรับ สุดท้ายก็จบลงที่ผมเลือกที่จะเงียบ แทนที่จะปลดปล่อยความคิด(และความรู้สึก)ของตัวเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ จนใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกวัน ฮ่าฮ่า ในที่สุดผมก็ได้รับรู้ความจริงอันโหดร้าย เมื่อผมผ่านไปดูหนังเรื่องหนึ่งเข้าด้วยความบังเอิญ เป็นบทสนทนาของคนสองคน ซึ่งเขากล่าวขึ้นมาว่า

"สิ่งที่ทำให้ตากล้องแต่ละคนแตกต่างกันก็คือรูปถ่ายของพวกเขา"

โป๊ะเช๊ะ โดนใจเสียนี่กระไร ตากล้องอย่างผมก็ควรจะต้องมั่นใจในรูปที่ตัวเองถ่ายสิ เออ ว่าแต่ผมไปเป็นตากล้องตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า ฮ่าฮ่า ช่างมัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ผมคิดได้จากประโยคนี้มันล้ำลึกมากกว่านั้น จนบางคนอาจสัมผัสไม่ถึง หรือเพราะผมบ้ากันแน่วะ ฮ่าฮ่า สิ่งที่ทำให้ตากล้องแต่ละคนแตกต่างกันก็คือรูปถ่ายของพวกเขา และสิ่งที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกันก็คือ ความคิดของพวกเขาเช่นกัน ทำไมเราไม่หัดเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง แม้ว่าเราจะคิดต่างไปจากสังคมก็ตามที สังคมไม่ให้การยอมรับ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก สิ่งที่สำคัญก็คือ การได้รับการยอมรับจากตัวเองต่างหาก เพราะถ้าเรายอมรับในแบบที่ตัวเองเป็นไม่ได้ เราก็จะเป็นไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รุ้ ที่วันๆใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าคุณมีความสุขกับสิ่งนั้นก็จงทำมันต่อไปเถอะ

ประเด็นนี้ผมพูดได้อีกยาวเลยล่ะ เพราะผมเห็นค่านิยมของสังคมแล้วต้องบอกว่ามันมีผลอย่างมหาศาลกับความเป็นตัวของตัวเอง กรุจะต้องสอบหมอให้ได้เพราะรวยโครตหาเงินได้ปีนึงเป็นล้าน ทั้งๆที่จริงๆกรุชอบศิลปะ แต่เผอิญเกิดมาสมองดีไปหน่อย เส้นทางการดำเนินชีวิตของคนจึงแปรเปลี่ยนไป ทั้งๆที่ถ้าดำเนินแนวทางที่สุดโต่งไปเป็นจิตรกรใส้แห้ง คุณอาจจะใส้แห้ง ต้องกินภาพสีน้ำมันแทนอาหาร หรือไม่ก็กลายเป็นจิตรกรเอกของโลกที่ภาพๆหนึ่งของคุณขายได้เป็นล้าน พระเจ้าจอร์จมันเทียบกันไม่ได้เลย ระหว่างการนั่งจมอยู่กับความทุกข์ในอาชีพที่ตัวเองไม่ได้รัก หาเงินได้มาก แต่ไม่มีเวลาใช้ ไม่เคยมีความสุข กับมีความสุขทุกวันกับงานที่ทำพร้อมกับเงินทองชื่อเสียงที่มีใช้สบายไปจนตาย ประเด็นนี้มันคงอยู่ที่ความกลัวกระมัง กลัวจน ก็เลยไม่รวย จริงๆแล้วมันก็เป็นเรื่องของทางเลือกเหมือนกันนะ

1. เลือกที่จะมีความสุขที่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ แล้วอยู่กับความยากจนข้นแค้นกินข้าวคลุกน้ำปลา โดยหวังลมๆแล้งๆว่าวันหนึ่งข้าจะเป็นเหมือนบิล เกต หรือสตีฟ จ็อบ ข้าจะเป็นที่สุดของที่สุดในสิ่งที่ข้ารักที่จะทำ

2. เลือกที่จะจมอยู่กับค่านิยมของสังคม ทำมันไปเพราะกรุก็ทำได้นะ แต่ถามว่ามีความสุขมั้ย ตอบเลยว่าไม่ ก็ทำแล้วมันมีข้าวกิน มีเงินมีทองไว้ใช้จ่ายนี่หว่า

ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้นะ ผมจะ... ไม่เลือกทั้งสองทาง ทั้งสองทางมันสุดโต่งเกินไป พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้เดินทางสายกลาง ทางแรกมันเสี่ยงเกินไป ไม่มีใครการันตีได้หนิว่าถ้าเลือกทำแล้วเราจะประสบความสำเร็จมหาศาล ทางที่สองมันก็ทุกข์เกินไป สิ่งที่ผมจะเลือกทำคือ ทำในสิ่งที่สังคมให้ค่า และไม่รู้สึกทุกข์ที่จะทำมัน ทำมันไปเลี้ยงชีวิตกันตาย ไม่ต้องร่ำรวย แต่ไม่จมอยู่กับความทุกข์ ในขณะเดียวกันก็จะทำสิ่งที่รักที่ชอบไปพร้อมๆกัน แค่นี้ก็มีทั้งความสุขและมีเงินใช้ไม่อดตายแล้ว นี่แหละชีวิตพอเพียง ถ้าเผื่อวันหนึ่งสิ่งที่รักที่ชอบมันจะส่งผลออกมาให้เราได้ประสบความสำเร็จ นั่นถือเป็นโบนัส

โอเค หลายคนอาจจะเถียงว่า ดูสิคนที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน เรียนก็ไม่จบ สตีฟจ็อบอย่างงี้ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์กอย่างงี้ เขาเลือกแนวทางแรกอย่างสุดโต่ง ความคิดเขาไม่มีคำว่าล้มเหลว นั่นเป็นความหลงไหลอย่างบ้าคลั่ง หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Passion ถ้าคุณมี คุณทำไปเถอะ เชื่อมั่นในแนวทางของตัวเอง แต่สำหรับผม ถ้าผมเกิดมารวยล้นฟ้า ที่บ้านผลิตเงินใช้เองได้ ผมก็คงเลือกแนวทางแรก แต่นี่มันไม่ใช่ ผมเชื่อมั่นในแนวทางที่ผมเลือก ณ ตอนนี้ (อนาคตไม่รู้ มันอาจจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ ฮ่าฮ่า)
ว่าไปนั่น ผมยังค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำไม่พบเลยด้วยซ้ำ สรุปผมเพ้อเอง อย่าได้ใส่ใจ ฮ่าฮ่า

พูดแค่เรื่องระบายความคิด ไหงมันเพ้อเจ้อได้มากขนาดนี้ หลุดออกกรอบที่ตัวเองตั้งใจเขียนตอนแรกไป 5000 กิโลเมตร มันแย่ตรงที่ถ้าเริ่มคิดเริ่มเขียน ความคิดมันจะไหลไปเรื่อยๆ จนหลุดกรอบไป แต่นั่นแหละคือที่มาของบล็อกนี้ ก็แค่ต้องการกระตุ้นความคิดของตัวเองถ่ายทอดมันออกมาเป็นเรื่องราวบนตัวหนังสือ ผมจะไม่พยายามจำกัดกรอบหรือวางโครง เพราะนั่นหมายถึงการหยุดความคิดที่บางครั้งมันแว็บขึ้นมาแล้วโดนใจ แล้วสุดท้ายผมก็จะลืมมันในที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าพยายามหาสาระอะไรมันเลย

จริงๆเปิดบล็อคขึ้นมาตั้งใจจะเขียนเรื่อง AEC กับนโยบายส่งเสริม SME ของรัฐบาล ตั้งใจว่าจะเกริ่นนิดเดียว เป้าพุ่งทะลุ 1 ล้านคำ (เว่อร์) คนบ้าอะไรเวิ่นเว้อได้ยืดยาว และยืดยาดมาก แล้วตอนนี้ความคิดผมมันก็หยุดลงแล้วอ่ะ ซวยละ (อ้าว แก -*-) สงสัยคงต้องยกยอดเป็นคราวหน้า หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้เขียนแล้ว ฮ่าฮ่า มันมีเรื่องใหม่ๆเกิดขึ้นในความคิดทุกวันเลยอ่ะ

สุดท้ายต้องย้ำกันอีกครั้งว่า เนื้อหาสาระในบล็อกนี้ เป็นความคิดของผมซะเป็นส่วนใหญ่ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน (ใครจะมาอ่านวะ นั่นดิ) เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร ร่วมแสดงความคิดเห็นหรืออวดอ้างภูมิความรู้กันได้เต็มที่ เพราะข้าพเจ้านั้นเสมือนหนึ่งน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว เพราะแก้วของข้าพเจ้าใหญ่มาก

เอวัง ด้วยประการฉะนี้แล