วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เริ่มต้นเดินทางค้นหาความฝัน ความพยายามหรือโชคชะตากำหนด

และแล้วการเดินทางของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น การเดินทางที่ผมเชื่อว่ามันคือความใฝ่ฝันของคนอีกหลายหมื่นหลายแสนคน และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จะพูดจริงๆคือ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความฝัน ไม่เคยคิดว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆทำไม มันช่างไร้แก่นสารจริงๆ พูดจบแล้วก็ไปบวชดีกว่า หาทางหลุดพ้น ฮ่าฮ่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมก็อยากมีสิ่งที่ตัวเองรักและมีความสุขที่จะทำ ที่มันไม่ไร้สาระอย่างการขี้เกียจไปวันๆเหมือนกัน แล้วความฝันของผมคืออะไรล่ะ ผมต้องเดินทางค้นหามันไปจนตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า

มีคนเคยพูดไว้ว่า ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักเป็นงาน เราจะมีความสุขในทุกวันที่ทำงาน และเราจะอยากทำงานในทุกๆวัน พูดจริงๆในทุกวันนี้ งานที่ทำอยู่มันไม่ใช่อย่างที่ว่าเลยสักนิด ขอบ่นถึงงานประจำหน่อย มันเป็นอะไรที่เครียดมากจริงๆ คือรู้เลยว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำ ในแต่ละวันที่ตื่นมาแทบไม่อยากตื่นไปทำงาน เจอทั้งความเครียด ความกดดันต่างๆนานา ไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่ช่างมัน อันนี้ทิ้งไว้ข้างหลัง หน้าที่ของผมคือเดินต่อไปข้างหน้า และหวังว่าสักวันจะเจอในสิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำ จะเจอความฝันของตัวเอง และได้มีความสุขในทุกวันที่ทำงาน การเดินทางตามหาความฝันจึงเริ่มต้นขึ้น... นักบิน

ทำไมต้องนักบิน สิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างแรกคือ โครตเท่ห์อ่ะ เท่านั้นจบ ประเด็นต่อมาคือ เงินเยอะ และประเด็นต่อมาคือ ต้องได้เที่ยวเยอะแน่ๆ ประเด็นเริ่มต้นน่าจะมีเท่านี้ พอคิดได้เท่านั้นแหละ ฮึกเหิม การวาดฝันต่างๆตามมาเป็นพรวนๆ คิดจินตนาการถึงภาพที่ตัวเองเป็นผู้ขับเคลื่อนเครื่องบินลำใหญ่ๆ ได้มองวิวทิวทัศน์จากบนท้องฟ้าที่หน้าห้อง console ของเครื่องบิน ที่แหวกปุยเมฆขาวๆ ชนนกตายไปสิบๆตัว ฮ่าฮ่า เพ้อฝันทั้งนั้น จุดเริ่มต้นจริงๆที่เป็นจุดเริ่มแรกของการมาสมัครสอบเป็นนักบินคือ มีพี่ที่ทำงานคนหนึ่งเขาไปสอบ นั่นแหละคือการจุดประกาย แล้วภาพต่างๆว่า โครตเท่ห์ เงินเยอะ ได้เที่ยวเยอะถึงตามมา คิดกร่นด่าตัวเองในใจว่า ทำไมกรูไม่คิดถึงอาชีพนี้ได้ตั้งแต่แรกวะเนี่ย

จริงๆแล้วนักบินอาจจะเป็นความฝันของผมตั้งแต่เด็กๆเลยก็ได้ แต่ก็บอกไม่ได้อีกเหมือนกัน อาจเป็นเพราะเราเป็นคนไม่ค่อยคิดค่อยฝันเหมือนเด็กคนอื่นๆ จำได้เลยว่าตอนเด็กๆคุณครูจะให้เขียนเรียงความว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร แล้วให้เอาไปอ่านหน้าชั้น เพื่อนๆของผมก็อยากเป็นตำรวจบ้าง อยากเป็นคุณครูบ้าง อยากเป็นหมอ พยาบาล บลาๆๆๆๆ แต่คำตอบที่ผมบอกไปก็คือ อยากค้าขายเหมือนพ่อแม่ แววนักธุรกิจตั้งแต่เด็กเลยนะเอ็ง ฮ่าฮ่า แต่ความเป็นจริงลึกๆที่จำได้ตอนนั้นที่ตอบไปเพราะคุณครูสั่ง และสิ่งที่เราพบเห็นอยู่ทุกวันก็คือคุณพ่อคุณแม่เปิดร้านขายของ มันใกล้ตัวสุดแล้ว ก็คิดได้แค่นั้นจริงๆ

นักบินเข้ามาอยู่ในความคิดผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอบไม่ได้เหมือนกัน จริงๆมันอาจจะอยู่ลึก แล้วก็ลึกมากกกกกกก แต่มันก็เหมือนสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ถ้ามีคนถามว่าอยากเป็นนักบินมั้ย คงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าอยาก แต่ผมมักเป็นคนที่ตีค่าตัวเองต่ำเสมอ คิดว่าตัวเองเป็นไม่ได้หรอก นักบินเขาต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ นิสัยขี้เกียจอย่างนี้ ไม่ค่อยมีวินัย เข้ากับคนไม่ได้ ข้อเสียของตัวเองผุดขึ้นมาเป็นพรวน แล้วเราก็จะตัดสินมันว่า ไม่ได้หรอก เราเป็นไม่ได้ มันอยู่ไกลมาก บวกกับภาพที่เราวาดไว้ ว่านักบินต้องเป็นคนที่เป็นตัวของตัวเองสูง มีความเป็นผู้นำ ความมั่นใจ ตัดสินใจเฉียบขาด ยิ่งมองยิ่งคิดก็ยิ่งไกล และบวกกับเราไม่เคยมองเห็นหนทาง หรือเส้นทางเดินสู่การเป็นนักบินเลย

กำแพงเหล่านี้ได้ถูกพังทลายลงจากการผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน พูดเหมือนตัวเองแก่ แต่ก็แก่จริง แล้วจะพูดเพื่อ!!! ผู้จุดประกายแรกจริงๆต้องขอบคุณพี่ที่ทำงานเก่ามาก จะบอกให้ถูกต้องเป็นหัวหน้าที่ทำงานเก่า ที่พูดถึงพี่ที่ทำงานเก่าว่าไปสอบนักบินมา แล้วก็พูดนั่นพูดนี่เยอะจนเราก็อยากที่จะไปลองสอบบ้าง แต่ในใจตอนนั้นก็แบบยังลังเลอยู่เพราะการประเมินตัวเองต่ำ ใจก็แบบกล้าๆกลัวๆ จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปเกือบครึ่งปี หลายๆสิ่ง หลายๆอย่างได้เปลี่ยนไป แต่ความคิดเราก็ไม่ได้เปลี่ยนตามเลย ยังคงประเมินค่าตัวเองต่ำอยู่เหมือนเคย แต่จากประสบการณ์ที่ยาวนานจากการดูเดอะสตาร์ เห็นชีวิตคนที่เปลี่ยนได้ในข้ามคืน บางคนเหล่านั้นเขาก็ Born to be และผมเชื่อว่าหลายๆคนไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมายืนนะจุดนั้นได้ จากคนเป็นหมื่นๆ แต่สิ่งที่เขาทำก็คือลอง อย่างน้อยเราก็ไม่แพ้ตั้งแต่เริ่ม ถ้าคุณไม่ลอง คุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ผมได้ ขอแค่ได้ลอง ถ้ามันจะไม่ใช่ อย่างน้อยเราก็ได้ลอง

หน้าที่ของเราคือลอง หน้าที่ตัดสินเป็นของคณะกรรมการ

เราจึงตัดสินใจสมัครสอบนักบิน โดยบอกกับตัวเองว่า ขอลองสักตั้งเถอะวะ นี่คือโหมดฮึกเหิม จะมีบ้างบางครั้งที่เข้าสู่โหมดห่อเหี่ยว ไอ้สมัครสอบกรอกแบบฟอร์มนั้นก็เจอปัญหาแล้ว วันแรกเปิดรับสมัคร เข้าเว็บ กรอกข้อมูลไปจนจบ Error บ้าง เข้าไม่ได้บ้าง สองสามวัน กรอกข้อมูลเป็นสิบๆรอบ จนในที่สุดวันที่สามได้ ที่เว็บการบินไทยบอกให้ใช้ IE 8 จึงต้องทำการ Downgrade IE เครื่องตัวเองลงจนสมัครได้ ผ่านไปถึงรอบการจ่ายเงินก็ไม่มีอะไร แค่ลองสุ่มเสี่ยงไปเดินห้างๆหนึ่งตอนเลิกงานพร้อมเอกสารการจ่ายเงิน โดยหวังว่ามันจะมีธนาคารกรุงไทย แล้วมันก็มีผ่านไปอย่างง่ายดาย แล้วทีนี้ ปัญหามันก็เกิดขึ้นรอบการรายงานตัว มันประกาศออกมาพอดีว่าเป็นวันที่ 22 เมษายน ซึ่ง วันที่ 19-21 เมษา เรานัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปเที่ยวหลีเป๊ะ แล้วทีนี้วันที่ 19 เราก็ต้องทำงาน วันที่ 21 เราก็ต้องทำงาน ถ้าปกติไม่มีรายงานตัวก็หนักใจอยู่แล้วต้องลา 2 วัน ขอเกริ่นก่อนว่า เรายังไม่มีลาพักร้อน ถ้าจะไปต้องแอบป่วยแอบลากิจไป ทีนี้พอมีรายงานตัวปุ๊บ ตัดสินใจทันที ทิ้งเรื่องไปเที่ยว ทิ้งตั่วเครื่องบิน ทิ้งค่าที่พัก ตัดสินใจลาไปรายงานตัววันที่ 22 โดยที่โดนเพื่อนไซโคทุกวันจนวันก่อนไป ก็แอบเศร้าใจเล็กๆ เสียตังแต่ไม่ได้ไปเที่ยว บางครั้ง สิ่งที่เราได้มา ก็อาจจะต้องแลกกับอะไรบางอย่าง มันคงเป็นบททดสอบหนึ่งว่า คุณยอมแลกได้หรือเปล่า

วันอาทิตย์ที่ 20 นอนตื่นสายโครตๆแบบขี้เกียจ อาจจะเรียกได้ว่าเกือบเย็นก็ว่าได้ ตื่นมาเกิดอารมณ์นีกครึ้มอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้มานั่งตรวจเอกสารพบว่า ขาดปริญญาบัตรตัวจริงไป ในใจตอนนั้นแบบว่า เอาไงดีวะ คือในเว็บมันบอกว่าถ้าไม่มีเอกสารตัวจริงมาแสดงขออนุญาตตัดสิทธิ โทรถามที่บ้านว่าปริญญาบัตรอยู่มั้ยต้องใช้สมัคร คุณแม่ที่เคารพบอกว่าเดี๋ยวดูให้ตอนนี้ติดฝนอยู่สมาคม แต่ตัวเราคิดว่ามันอยู่แน่ๆ พอวางโทรศัพท์ปุ๊บ ตัดสินใจพุ่งออกจากห้องในเวลาประมาณ 4 โมงครึ่ง คิดว่าเอาวะนั่งรถกลับไปคงถึงเที่ยงคืน กลับมาถึงซักตีห้า ตาค้างไปทำงาน อารมณ์ตอนนั้นบอกว่า ลองสู้ดูสักตั้งสิวะ เดินออกไปได้ครึ่งซอย โทรศัพท์จากคุณแม่โทรกลับมาบอกว่า ญาติจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯวันจันทร์ เพราะจะไปขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวภูเก็ตกันวันอังคาร เราแบบดีใจสุดฤทธิ์ว่า โอยรอดตัวละ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก เลยบอกกับที่บ้านว่าขอทะเบียนบ้านตัวจริงด้วย เราจะได้ไม่ต้องไปขอคัดสำเนาที่สำนักงานเขตเพื่อใช้เป็นหลักฐานการสมัคร

ผ่านไปวันจันทร์พอเลิกงานปุ๊บบึ่งรถไปนิมิตรใหม่เพื่อไปเอาหลักฐาน กว่าจะกลับถึงที่พักก็สามทุ่มกว่าๆ ก็ไม่คิดไรจัดเตรียมหลักฐานทุกอย่างลงกระเป๋านอนหลับอย่างสบายใจ พอถึงวันอังคารที่ 22 เราออกจากที่ทำงานตอนเที่ยงเนื่องจากว่ารายงานตัวตอนบ่ายเวลา 13.30 - 16.30 ไปถึงสะพานข้ามการบินไทยตั้งแต่เวลา 13.20 ณ ขณะที่เดินข้ามสะพาน นึกครึ้มไรไม่รู้มาตรวจหลักฐานอีกที พบว่า บัตรประชาชนหายยยยย ตกใจมากตอนนั้นคิดไปคิดมาคิดได้ว่า ตอนที่ขับรถไปนิมิตรใหม่บ้านญาติ ตอนเข้าหมู่บ้านต้องแลกบัตรเข้า ตอนกลับเราก็ออกมาเลย ไม่ได้เอาบัตรติดกลับมา คิดว่าขับรถไปยังไงก็ไม่ทันแน่ๆ (แต่มาคิดอีกทีตอนนี้ ถ้าเรานั่งแท็กซี่ไปกลับอาจจะทัน) ณ จุดนั้นพยายามคิดทบทวนหาวิธีการที่ดีที่สุด แต่ดันคิดไม่ออกว่าควรนั่งแท็กซี่ไปเอาบัตรที่นู้น มีตัวเลือกอยู่สองทาง ยอมแพ้ไปสมัครใหม่ปีหน้ากับไปทำบัตรประชาชนเพื่อเป็นหลักฐานใหม่มีเวลา 3 ชั่วโมงตัดสินใจว่า เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองสู้ดูสักตั้ง ตัดสินใจกลับหลังหันไปขึ้นแท็กซี่บอกพี่ ไปสำนักงานเขตจตุจักร ขับไปประมาณ 5 นาทีถึง เดินข้ามสะพานไปเข้าสำนักงานเขตจตุจักร พบว่า คิวทำบัตรประชาชนเต็ม ใจฝ่อลงไปเยอะ เพราะถ้าทำบัตรประชาชนไม่ได้ ก็หมดสิทธิ แต่ก็อยากลองสู้อีกสักตั้ง ตอนที่เราจะไปคัดสำเนาทะเบียนบ้านได้หาข้อมูลไว้ว่าสามารถไปขอทำที่ BTS Express ได้ซึ่งเป็นจุดบริการด่วนกรุงเทพมหานคร และเขาบอกว่ามันทำเร็วมาก ขั้นตอนไม่เยอะ และก็จำได้ว่าทำบัตรประชาชนได้ด้วย เราจึงตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไปที่ BTS หมอชิต แอบบ่น แท็กซี่คันนี้พาเราเข้าด้านหลังแถมขับช้ามาก เสียเงินไปเกือบร้อย ลงจากแท็กซี่ขึ้นไป BTS จ่ายตัง 15 บาทเพื่อเข้าไปในสถานี ไปถึงบอกเจ้าหน้าที่ว่าบัตรประชาชนหาย ซวยซ้ำหน้าหงายกลับมาบอกอ่านหน้ากระจกด้วย บัตรประชาชนหายไม่รับทำ รับทำเฉพาะที่เขต แอบบ่น พนักงานไม่รับแขกมากๆ ทั้งคำพูดและหน้าตา บอกว่าให้ไปลองติดต่อที่สำนักงานเขตราชเทวีหรือพญาไท ด้วยความที่เราไม่เชื่อนัก บวกกับพนักงานไม่รับแขก จึงตัดสินใจนั่ง BTS ไปพร้อมพงษ์ เพราะเคยไปใช้บริการที่นั้น พนักงานใจดีและให้บริการดีมากๆ แต่พอไปถึงก็เหมือนเดิม จุดนั้นน่าจะบ่ายสองครึ่งเกือบบ่ายสามแล้ว ก็เลยตัดสินใจนั่ง BTS กลับไปที่พญาไท ลองดูอีกสำนักงานเขตนึง โดยหวังว่าคิวทำบัตรประชาชนจะไม่เต็มด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ มาถึงลงมาด้านล่างด้วยอาการเริ่มรนแล้วเพราะเวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกที ซื้อน้ำถามป้าที่ขายว่าสำนักงานเขตอยู่ไหน ได้คำตอบว่า อยู่สถานีราชเทวี ถัดไปนิดหนึง เฮือก ลงผิดสถานี เลยตัดสินใจนั่งรถไฟฟ้าไป จะนั่งรถเมล์ก็ช้า ไม่ทันใจ ลงมากว่าจะเดินหาเจอก็ต้องถามวินมอไซค์อีกรอบ เดินเข้าไปด้วยใจแป้วๆตอนเวลาบ่ายสามกว่าๆเกือบครึ่งแล้ว พบว่ามันโล่งมาก เข้าไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์ก็แจ้งว่า ต้องมีสำเนาทะเบียนบ้านกับใบขับขี่ ทะเบียนบ้านอ่ะเราเตรียมมาแล้ว จะใช้เป็นหลักฐานสมัครสอบ แต่ใบขับขี่ต้องไปถ่าย พอไปถ่ายก็เลยจะถ่ายทะเบียนบ้านเอาไว้เผื่อ หยิบตัวจริงออกมาจะให้เค้าถ่าย พบว่า ทะเบียนบ้านที่ที่บ้านฝากมาให้ไม่มีชื่อตัวเอง!!! ซวยซ้ำ ดีที่เจอก่อน เลยเอาใบสำเนามาให้เค้าถ่ายซ้ำ กลับไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์บอกจะขอคัดสำเนาทะเบียนบ้านด้วย ได้คำตอบว่าต้องทำบัตรประชาชนเสร็จก่อนแล้วใช้บัตรประชาชนเป็นหลักฐานขอคัดสำเนา ให้แบบฟอร์มมากรอกข้อมูลทำบัตรประชาชนเยอะมาก ณ จุดนั้นเริ่มรน กรอกข้อมูลด้วยความเร่งรีบ เพราะเห็นความหวังอยู่แม้จะริบหรี่มากก็ตามที อยากบอกว่าที่นี่ทำบัตรประชาชน Process เยอะมาก ถามนั่นนู่นนี่ ไปโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเราบัตรประชาชนหายมั้งเลยต้องสอบประวัติเยอะหน่อย ได้ับัตรประชาชนมาตอนประมาณ บ่าย 3 โมง 45 นาที วิ่งสุดฤทธิ์ไปถ่ายสำเนาบัตรประชาชนกลับมาขอคัดสำเนา โชคดีที่ขอคัดสำเนาแค่ประมาณ 5 นาที ก็เสร็จ ณ จุดนี้ประมาณ บ่าย 3 โมง 55 นาที วิ่งสุดฤทธิ์ออกจากสำนักงานเขตข้ามถนนไปขึ้นรถไฟฟ้าแบบเหนื่อยหอบสุดๆ บอกกับตัวเองว่า ไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ขอสู้จนวินาทีสุดท้าย รถไฟฟ้าก็วิ่งช้าไม่ทันใจมากๆ ออกจากรถไฟฟ้าประมาณ บ่าย 4 โมง 15 นาที ก็วิ่งอย่างสุดฤทธิ์จะไปขึ้นแท็กซี่บริเวณนั้นที่จอดเรียงกันอยู่เป็นตับ แต่จะด้วยโชคที่เริ่มเข้าข้างหรืออย่างไรไม่ทราบ แท็กซี่บอก มอไซค์เลยน้อง เร็วกว่า ขอบคุณพี่แท็กซี่มากๆ หันหลังไปบอกพี่วิน พี่ไปการบินไทยแบบด่วนๆติดสปีดซิ่งท้านรกเลยพี่ พี่เค้าจัดให้ตามคำขอ กว่าจะไปถึงการบินไทยก็บ่าย 4 โมง 20 นิดๆลงมอไซค์จ่ายตังไป 80 บาทแอบแพงแต่ไม่มีเวลาคิด  วิ่งไปถามพี่ยามที่อยู่หน้าตึกถามว่าอาคารสามอยู่ไหน พี่ยามชี้อยู่ไกลลิบๆประมาณ 100 เมตร เราก็วิ่งสุดฤทธิ์ หัวเหอฟูไปหมด ผ่านด่านเครื่องสแกนตรวจกระเป๋า ติดต่อเคาเตอร์แลกบัตร ยามหน้าลิฟต์บอก เร็วๆเลยน้องก่อนจะหมดเวลา เราก็เข้าลิฟต์ไปกดไปชั้นที่ 11 เดินเข้าไปพบพี่ผู้หญิงคนหนึ่งยืนต้อนรับทักพร้อมด้วยหน้าตาตื่นตกใจกับสภาพเรากระมังว่า ไปทำไรมาจนจะปิดเนี่ย ก็เล่าๆบอกพี่เค้าไปคร่าวๆ พอเดินเข้ามาในห้องรายงานตัวพบว่า ไม่มีผู้สมัครคนอื่นอยู่แล้ว มีแต่พี่ๆที่ตรวจหลักฐานอยู่นั่งเล่นเตรียมจะกลับกันแล้ว พี่ผู้หญิงก็บอกว่า เอ้า คนสุดท้ายมาแล้ว ช่วยกันรุมหน่อยเร้วววว ไอ้เราก็แบบ เอ่อ รุมเลยหรอ ก็ไปตรวจหลักฐานอย่างเร่งรีบและแบบโดนรุม เสร็จในเวลา 5 นาที ออกมายืนหน้าห้องพร้อมบัตรประจำตัวผู้สอบ 1 ใบแบบงงๆว่า ที่ตะลุยผจญภัยทั้งวันมานี่ จบแล้วใช่มั้ย กดลิฟต์ลงไปด้านล่างชั้น 1 เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำไมตัวมันโล่งๆวะ เฮ้ยยยย ลืมกระเป๋าโน้ตบุ๊ค กดลิฟต์กลับขึ้นไปพร้อมด้วยหน้าแหยๆกับพี่ๆที่กำลังจะปิดห้องบอกว่า ลืมกระเป๋าครับ ก็โดนแซวกันไปตามระเบียบ แล้วก็จบลง

เขียนมาโครตเหนื่อยเลย คงไม่มีใครมาอ่าน แค่อยากบันทึกไว้ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง การเริ่มต้นเดินทางตามหาความฝัน เริ่มแรกก็พบกับอุปสรรคซะแล้ว แต่ถ้า ณ จุดที่บัตรประชาชนหายแล้วผมยอมแพ้บอกกับตัวเองว่า ปีหน้าค่อยสมัครใหม่ ผมคงไม่ได้ครอบครองบัตรประจำตัวผู้สมัครนักเรียนการบินไทย มันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ บอกกับตัวเองว่าปีหน้าเอาใหม่ แต่ผมอยากบอกกับตัวเองเช่นนี้ ก็ต่อเมื่อผมได้พยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว บางครั้งเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมันก็เหมือนโชคชะตากำหนดเหมือนกัน เริ่มแรก ถ้าผมไม่สู้ที่จะไปเอาปริญญาบัตร ผมก็คงหมดสิทธิสอบ ณ จุดที่บัตรประชาชนหาย(จริงๆคือลืม ฮ่าฮ่า) ถ้าผมไม่ไปทำบัตรใหม่ ผมก็คงไม่รู้ว่าทะเบียนบ้านที่เอามามันใช้ไม่ได้ และโชคชะตาก็คงจะอยากทดสอบอะไรเราเหมือนกัน

แต่ก่อนผมไม่เชื่อในโชคชะตา แต่ก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องประมาณนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน มันเป็นเหตุเป็นผลและบังเอิญจนผมก็ไม่อยากเชื่อ เรื่องนั้นคือตอนที่ผมจะบวช ผมจริงจังและตั้งใจมากว่า จะบวชทั้งที ขอเข้มๆ ให้เราได้อะไรกลับมาบ้าง ค้นข้อมูลไปๆมาๆไปพบว่าสายธรรมยุติเคร่งมาก เริ่มหาวัดสายธรรมยุติ ก็อยากได้วัดที่ปฏิบัติดีจริงๆ และแอบแถมบรรยากาศดีนิดหน่อยด้วย ค้นไปค้นมาไปเจอวัดหลวงพ่อกัณหา คนเขียนบล็อกก็ไปบวชเหมือนกัน ผมก็เกิดอยากจะบวชที่นี่ขึ้นมา ความบังเอิญแรกเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนพ่อบอกว่า เพิ่งไปบวชมาวัดนี้แหละ ตอนแรกเราไม่เชื่อ วัดมีตั้งหลายวัดมันจะบังเอิญมาวัดเดียวกันได้ไง พอไปถึงที่วัดนั้นจึงพบว่าใช่จริงๆ และความบังเอิญที่สองที่ผมไปเยี่ยมวัด นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้มาเยือนวัดนี้ ผมและครอบครัว เคยหลงเข้ามาวัดนี้เมื่อตอนที่พาครอบครัวเที่ยวแถบๆวังน้ำเขียว หลงโดยไม่ตั้งใจ หลงทั้งๆที่มี GPS นำทางและพี่สาวก็เป็นเจ้าถิ่นบริเวณนั้น มันคงมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงเรากับสถานที่แห่งนี้

เช่นเดียวกับการสมัครสอบนักบิน ลองมาคิดๆดู หลายๆอย่างมันก็เป็นเหตุเป็นผล เป็นความบังเอิญจนผมเองก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า มันถูกกำหนดไว้แล้ว ความบังเอิญแรก ผมลืมปริญญาบัตร แต่ญาติบังเอิญจะเข้ากรุงเทพฯพอดี ความบังเอิญที่สอง ผมบัตรประชาชนหาย ทำให้รู้ว่าทะเบียนบ้านที่เอามามันใช้ไม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็เชื่ออีกว่า ถ้าผมไม่พยายามก่อน ผมคงไม่ได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ ที่ผมได้เป็นหนึ่งในผู้สมัครสอบการบินไทย ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผมจะได้เป็นนักบินหรือไม่ และนักบินจะใช่ความฝันที่ผมตามหาหรือเปล่า หรือผมจะต้องเดินตามหามันต่อไปตลอดชีวิต การเดินทางทั้งหมดมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น